อยากปรับโฉมบ้านเก่าให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยการทาสีบ้านใหม่ แต่คิดๆไปคงเป็นเรื่องยาก เพราะไหนจะค่าสี ค่าช่าง ค่าอุปกรณ์ต่างๆ เยอะแยะมากมาย ขอพักดีกว่าใช่ไหมครับ แต่วันนี้เดลูต้าจะพาทุกคนไปรู้จัก 5 วิธีที่จะทำให้การทาสีบ้านหลังเก่า ให้ดูสวยใหม่ได้แบบมืออาชีพไม่ใช่เรื่องยาก ด้วยสองมือของทุกคนในบ้าน จะมีอะไรบ้าง เตรียมเครื่องมือให้พร้อมแล้วไปดูกันครับ…
1.เลือกสีรองพื้นให้เหมาะกับผนังบ้าน
แน่นอนว่าก่อนที่จะเราเริ่ม ทาสีบ้าน ก็ต้องมีการเลือกสีที่ชอบและก่อนลงสีจริงทุกครั้ง แต่เรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันและควรเลือกให้ดี คือ สีรองพื้นที่จะช่วยทำให้การทาสีบ้านของคุณเป็นเรื่องที่ง่ายมากยิ่งขึ้น ดังนั้น คุณต้องมองดูว่าผนังบ้านของคุณเป็นแบบไหน ถ้าเป็นปูนก็ให้ใช้สีรองพื้นปูน และดูว่าเป็นปูนใหม่หรือเก่า เพราะสีรองพื้นของทั้ง 2 แบบจะใช้แยกกัน เพื่อให้ประสิทธิภาพในการกันความชื้นและกันเชื้อราเหมาะสมกับปูนในแต่ละแบบนั่นเองครับ ส่วนสีรองพื้นไม้แนะนำให้ใช้เป็นแบบผสมอะลูมิเนียมที่ช่วยป้องกันยางจากไม้ชั้นแรก จากนั้นให้ลงสีน้ำมันทับอีกหนึ่งชั้นและด้วยความที่แห้งเร็วเพราะมีทินเนอร์เป็นส่วนผสม จึงทำให้การลงสีจริงง่ายและรวดเร็วกว่าเดิม
2.เตรียมอุปกรณ์ให้เหมาะสมและพร้อมกับการทาสีบ้าน
การเตรียมอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับสีทาบ้าน จะช่วยทำให้คุณชีวิตคุณง่ายมากยิ่งขึ้น เช่น การใช้แปรงสำหรับทาสีต่างๆ ตามการใช้งาน , ภาชนะใส่สีที่ผสมแล้ว อาจจะเป็นถังสีเหลือใช้, ที่แช่และล้างแปรง และอุปกรณ์ปูพื้นอย่างกระดาษหรือผ้าใบ เป็นต้น อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยทำให้การทาสีบ้านของคุณเสร็จได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ก็อย่าลืมเตรียมเทปกาวที่จะนำมาปิดตามขอบประตู, หน้าต่าง และขอบเพดาน เพื่อป้องกันไม่ให้สีเลอะออกไปนอกขอบของเทปกาว ถือว่าเป็นเทคนิคการทาสีบ้านที่มือใหม่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียวครับ
3.ประเมินพื้นผิวของผนังก่อนทาสีบ้าน
การประเมินพื้นผิวผนังก่อนการทาสีจะช่วยทำให้การทาสีบ้านของคุณมีความเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น เพียงต้องรู้ว่าพื้นผิวผนังบ้านเป็นปูน, ไม้, โลหะ หรือแผ่นยิปซั่มบอร์ด คุณก็จะสามารถซื้อสีมาใช้งานอย่างเหมาะสม ซึ่งการเลือกสีให้เหมาะสม จะช่วยทำให้สีหลักไม่หลุดล่อนหรือเกิดความชื้นจนเสียหายได้ เช่น การเลือกใช้สีอะครีลิกกับผนังปูน, การเลือกใช้สีน้ำกึ่งเงากับผนังยิปซั่ม หรือการเลือกใช้สีน้ำมันกับผนังไม้ เป็นต้น และอีกสิ่งหนึ่งก่อนที่จะเริ่มลงมือทาสี ขั้นตอนที่สำคัญก็คือการเตรียมพื้นผิวนั่นเองครับ ซึ่งการเตรียมพื้นผิวของแต่ละพื้นที่ ก็มีแตกต่างกันออกไป ดังนี้
- พื้นผิวปูน เริ่มจากการขูดสีที่หลุดร่อนออกมาให้หมด เพราะพื้นผิวปูนมักจะเกิดสีหลุดร่อนได้ง่าย หลังจากนั้นล้างทำความสะอาดผนังด้วยน้ำเปล่า พร้อมขัดด้วยแปรง หากผนังมีรอยร้าวให้ทำการโป๊วหรือแก้ไข ปิดท้ายด้วยการนำกระดาษทรายมาขัดให้พื้นผิวเรียบเสมอกัน แค่นี้ง่ายๆสำหรับพื้นผิวปูน
- พื้นผิวไม้ สามารถนำกระดาษทรายมาขัดบนพื้นผิวให้เรียบได้เลย จากนั้นล้างทำความสะอาด และรอจนแห้งสนิท เพราะหากไม้มีความชื้นอาจก่อให้เกิดชื้นราได้ เมื่อแห้งแล้วให้ทาด้วยน้ำยากันเชื้อราครับ
- พื้นผิวโลหะ สำหรับพื้นผิวนี้ ต้องระมัดระวังในเรื่องของสนิมเป็นพิเศษ ซึ่งหากพื้นผิวมีสนิม ให้นำกระดาษทรายขัดออกให้เรียบร้อย จากนั้นทาตามด้วยน้ำยากันสนิมครับ
4.ลงมือทาสีบ้านจริงอย่างมืออาชีพ
ขั้นตอนการลงสีทาบ้าน ควรทิ้งระยะเวลาหลังจากการลงสีรองพื้นไปแล้วประมาณ 1-2 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าสีรองพื้นแห้งสนิทดีแล้ว ยกเว้นสีรองพื้นไม้ที่มีส่วนผสมของทินเนอร์ จึงสามารถทาสีหลักได้เร็วกว่าผนังแบบอื่น และเมื่อเตรียมพื้นผิวเรียบร้อยด้วยการขัดและทำความสะอาดตามที่แนะนำไปก่อนหน้านี้ คุณก็สามารถลงสีจริงได้เลย สำหรับการใช้ลูกกลิ้ง ขอแนะนำว่า ควรเลือกลูกกลิ้งที่มีขนาดเหมาะมือ นำมาจุ่มลงถังสีเพียงบางส่วนจากนั้นก็กลิ้งสีจากบนลงล่างหรือจากล่างขึ้นบน เพียงทางใดทางหนึ่งเท่านั้น แล้วเว้นช่วงก่อนถึงเพดานและพื้นไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้สีเลอะออกไปโดนส่วนอื่นๆ เมื่อทาสีหลักรอบแรกแล้วให้ทาซ้ำเป็นครั้งที่ 2 แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ค่อยกลับมาทาซ้ำอีกครั้ง แต่ถ้ามีสีเลอะตรงจุดที่ล้างได้ ให้ล้างด้วยน้ำมันหรือนำยาล้างสีโดยเฉพาะนะครับ
5.เลือกสีให้เหมาะสมกับสถานที่
เรื่องสำคัญของการทาสีคือ การเลือกสีที่เหมาะสมกับแต่ละสถานที่ภายในบ้าน เช่น ถ้าเป็นห้องน้ำที่เป็นโซนอับชื้น มีแสงเข้าห้องเพียงหน้าต่างบานเล็ก ให้ใช้สีโทนสว่างไว้เพื่อช่วยกระจายแสง ทำให้ห้องน้ำดูสว่าง นอกจากนี้แสงจะช่วยลดความชื้นและป้องกันการเกิดเชื้อราได้ หรือการเลือกใช้โทนสีผ่อนคลายอย่างสีฟ้า สีชมพู สีเขียวในห้องรับแขกเพื่อทำให้บรรยากาศในการนั่งคุยกันเป็นไปอย่างผ่อนคลาย เป็นต้น
วิธีทาสีบ้านทั้ง 5 ข้อนี้ จะช่วยทำให้คุณได้สีบ้านที่ทาด้วยตัวเองในแบบที่ถูกใจ พร้อมทำให้สีติดทนนาน ไม่มีชื้น ไม่มีเชื้อรา และไม่หลุดลอกเร็วจนเกินไป ทำให้สีบ้านสวยอยู่คู่กับตัวบ้านหรือห้องได้อย่างยาวนานไม่แพ้กับช่างสีมืออาชีพทำเลยทีเดียว แต่ทั้งหมดนี้ถ้าคุณไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ตาม บางคนไม่มีเวลา หรือไม่มั่นใจในฝีมือการทาสีของตัวเองจริงๆ เดลูต้าก็ขอแนะนำให้เลือกช่างมาทาสีจะดีที่สุด แต่ควรเลือกช่างที่มีประสบการณ์ มีความรู้เกี่ยวกับการทาสีบ้าน เพื่อให้บ้านของคุณออกมาได้สวย ถูกใจ ตามที่ต้องการครับ
อยากปรับโฉมบ้านเก่าให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยการทาสีบ้านใหม่ แต่คิดๆไปคงเป็นเรื่องยาก เพราะไหนจะค่าสี ค่าช่าง ค่าอุปกรณ์ต่างๆ เยอะแยะมากมาย ขอพักดีกว่าใช่ไหมครับ แต่วันนี้เดลูต้าจะพาทุกคนไปรู้จัก 5 วิธีที่จะทำให้การทาสีบ้านหลังเก่า ให้ดูสวยใหม่ได้แบบมืออาชีพไม่ใช่เรื่องยาก ด้วยสองมือของทุกคนในบ้าน จะมีอะไรบ้าง เตรียมเครื่องมือให้พร้อมแล้วไปดูกันครับ…
1.เลือกสีรองพื้นให้เหมาะกับผนังบ้าน
แน่นอนว่าก่อนที่จะเราเริ่ม ทาสีบ้าน ก็ต้องมีการเลือกสีที่ชอบและก่อนลงสีจริงทุกครั้ง แต่เรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันและควรเลือกให้ดี คือ สีรองพื้นที่จะช่วยทำให้การทาสีบ้านของคุณเป็นเรื่องที่ง่ายมากยิ่งขึ้น ดังนั้น คุณต้องมองดูว่าผนังบ้านของคุณเป็นแบบไหน ถ้าเป็นปูนก็ให้ใช้สีรองพื้นปูน และดูว่าเป็นปูนใหม่หรือเก่า เพราะสีรองพื้นของทั้ง 2 แบบจะใช้แยกกัน เพื่อให้ประสิทธิภาพในการกันความชื้นและกันเชื้อราเหมาะสมกับปูนในแต่ละแบบนั่นเองครับ ส่วนสีรองพื้นไม้แนะนำให้ใช้เป็นแบบผสมอะลูมิเนียมที่ช่วยป้องกันยางจากไม้ชั้นแรก จากนั้นให้ลงสีน้ำมันทับอีกหนึ่งชั้นและด้วยความที่แห้งเร็วเพราะมีทินเนอร์เป็นส่วนผสม จึงทำให้การลงสีจริงง่ายและรวดเร็วกว่าเดิม
2.เตรียมอุปกรณ์ให้เหมาะสมและพร้อมกับการทาสีบ้าน
การเตรียมอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับสีทาบ้าน จะช่วยทำให้คุณชีวิตคุณง่ายมากยิ่งขึ้น เช่น การใช้แปรงสำหรับทาสีต่างๆ ตามการใช้งาน , ภาชนะใส่สีที่ผสมแล้ว อาจจะเป็นถังสีเหลือใช้, ที่แช่และล้างแปรง และอุปกรณ์ปูพื้นอย่างกระดาษหรือผ้าใบ เป็นต้น อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยทำให้การทาสีบ้านของคุณเสร็จได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ก็อย่าลืมเตรียมเทปกาวที่จะนำมาปิดตามขอบประตู, หน้าต่าง และขอบเพดาน เพื่อป้องกันไม่ให้สีเลอะออกไปนอกขอบของเทปกาว ถือว่าเป็นเทคนิคการทาสีบ้านที่มือใหม่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียวครับ
3.ประเมินพื้นผิวของผนังก่อนทาสีบ้าน
การประเมินพื้นผิวผนังก่อนการทาสีจะช่วยทำให้การทาสีบ้านของคุณมีความเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น เพียงต้องรู้ว่าพื้นผิวผนังบ้านเป็นปูน, ไม้, โลหะ หรือแผ่นยิปซั่มบอร์ด คุณก็จะสามารถซื้อสีมาใช้งานอย่างเหมาะสม ซึ่งการเลือกสีให้เหมาะสม จะช่วยทำให้สีหลักไม่หลุดล่อนหรือเกิดความชื้นจนเสียหายได้ เช่น การเลือกใช้สีอะครีลิกกับผนังปูน, การเลือกใช้สีน้ำกึ่งเงากับผนังยิปซั่ม หรือการเลือกใช้สีน้ำมันกับผนังไม้ เป็นต้น และอีกสิ่งหนึ่งก่อนที่จะเริ่มลงมือทาสี ขั้นตอนที่สำคัญก็คือการเตรียมพื้นผิวนั่นเองครับ ซึ่งการเตรียมพื้นผิวของแต่ละพื้นที่ ก็มีแตกต่างกันออกไป ดังนี้
- พื้นผิวปูน เริ่มจากการขูดสีที่หลุดร่อนออกมาให้หมด เพราะพื้นผิวปูนมักจะเกิดสีหลุดร่อนได้ง่าย หลังจากนั้นล้างทำความสะอาดผนังด้วยน้ำเปล่า พร้อมขัดด้วยแปรง หากผนังมีรอยร้าวให้ทำการโป๊วหรือแก้ไข ปิดท้ายด้วยการนำกระดาษทรายมาขัดให้พื้นผิวเรียบเสมอกัน แค่นี้ง่ายๆสำหรับพื้นผิวปูน
- พื้นผิวไม้ สามารถนำกระดาษทรายมาขัดบนพื้นผิวให้เรียบได้เลย จากนั้นล้างทำความสะอาด และรอจนแห้งสนิท เพราะหากไม้มีความชื้นอาจก่อให้เกิดชื้นราได้ เมื่อแห้งแล้วให้ทาด้วยน้ำยากันเชื้อราครับ
- พื้นผิวโลหะ สำหรับพื้นผิวนี้ ต้องระมัดระวังในเรื่องของสนิมเป็นพิเศษ ซึ่งหากพื้นผิวมีสนิม ให้นำกระดาษทรายขัดออกให้เรียบร้อย จากนั้นทาตามด้วยน้ำยากันสนิมครับ
4.ลงมือทาสีบ้านจริงอย่างมืออาชีพ
ขั้นตอนการลงสีทาบ้าน ควรทิ้งระยะเวลาหลังจากการลงสีรองพื้นไปแล้วประมาณ 1-2 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าสีรองพื้นแห้งสนิทดีแล้ว ยกเว้นสีรองพื้นไม้ที่มีส่วนผสมของทินเนอร์ จึงสามารถทาสีหลักได้เร็วกว่าผนังแบบอื่น และเมื่อเตรียมพื้นผิวเรียบร้อยด้วยการขัดและทำความสะอาดตามที่แนะนำไปก่อนหน้านี้ คุณก็สามารถลงสีจริงได้เลย สำหรับการใช้ลูกกลิ้ง ขอแนะนำว่า ควรเลือกลูกกลิ้งที่มีขนาดเหมาะมือ นำมาจุ่มลงถังสีเพียงบางส่วนจากนั้นก็กลิ้งสีจากบนลงล่างหรือจากล่างขึ้นบน เพียงทางใดทางหนึ่งเท่านั้น แล้วเว้นช่วงก่อนถึงเพดานและพื้นไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้สีเลอะออกไปโดนส่วนอื่นๆ เมื่อทาสีหลักรอบแรกแล้วให้ทาซ้ำเป็นครั้งที่ 2 แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ค่อยกลับมาทาซ้ำอีกครั้ง แต่ถ้ามีสีเลอะตรงจุดที่ล้างได้ ให้ล้างด้วยน้ำมันหรือนำยาล้างสีโดยเฉพาะนะครับ
5.เลือกสีให้เหมาะสมกับสถานที่
เรื่องสำคัญของการทาสีคือ การเลือกสีที่เหมาะสมกับแต่ละสถานที่ภายในบ้าน เช่น ถ้าเป็นห้องน้ำที่เป็นโซนอับชื้น มีแสงเข้าห้องเพียงหน้าต่างบานเล็ก ให้ใช้สีโทนสว่างไว้เพื่อช่วยกระจายแสง ทำให้ห้องน้ำดูสว่าง นอกจากนี้แสงจะช่วยลดความชื้นและป้องกันการเกิดเชื้อราได้ หรือการเลือกใช้โทนสีผ่อนคลายอย่างสีฟ้า สีชมพู สีเขียวในห้องรับแขกเพื่อทำให้บรรยากาศในการนั่งคุยกันเป็นไปอย่างผ่อนคลาย เป็นต้น
วิธีทาสีบ้านทั้ง 5 ข้อนี้ จะช่วยทำให้คุณได้สีบ้านที่ทาด้วยตัวเองในแบบที่ถูกใจ พร้อมทำให้สีติดทนนาน ไม่มีชื้น ไม่มีเชื้อรา และไม่หลุดลอกเร็วจนเกินไป ทำให้สีบ้านสวยอยู่คู่กับตัวบ้านหรือห้องได้อย่างยาวนานไม่แพ้กับช่างสีมืออาชีพทำเลยทีเดียว แต่ทั้งหมดนี้ถ้าคุณไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ตาม บางคนไม่มีเวลา หรือไม่มั่นใจในฝีมือการทาสีของตัวเองจริงๆ เดลูต้าก็ขอแนะนำให้เลือกช่างมาทาสีจะดีที่สุด แต่ควรเลือกช่างที่มีประสบการณ์ มีความรู้เกี่ยวกับการทาสีบ้าน เพื่อให้บ้านของคุณออกมาได้สวย ถูกใจ ตามที่ต้องการครับ